การพัฒนาซอฟต์แวร์หรือแอปพลิเคชันต่างๆ โดยใช้แพลตฟอร์มที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย มีอินเทอร์เฟซที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรมมาก่อน คุณสามารถสร้างทุกอย่างได้ด้วยการลากและวางเลือกตัวเลือกต่างๆและกำหนดค่าตามต้องการ ทักษะแบบโนโค้ดได้กลายมาเป็นผู้เปลี่ยนเกม ช่วยให้นักการตลาดสามารถสร้าง ทำให้เป็นอัตโนมัติและปรับขนาดโซลูชันดิจิทัลได้
โดยไม่ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม สิ่งที่น่าดึงดูดใจคือเครื่องมือแบบโนโค้ดช่วยให้นักการตลาดสามารถสร้างและทดลองใช้ได้อย่างรวดเร็ว ลดการพึ่งพาผู้พัฒนาและปรับปรุงเวิร์กโฟลว์ให้มีประสิทธิภาพ มาเจาะลึกทักษะแบบโนโค้ดยอดนิยมบางส่วนที่ส่งผลต่ออนาคตของการตลาดออนไลน์กัน
1. โปรแกรมสร้างเว็บไซต์และหน้า Landing Page
แพลตฟอร์มเช่นWix , SquarespaceและWebflowช่วยให้นักการตลาดสามารถสร้างเว็บไซต์และหน้า Landing Page ที่สวยงามด้วยอินเทอร์เฟซแบบลากและวาง แพลตฟอร์มเหล่านี้มีเทมเพลต เครื่องมือ SEO และการผสานรวมกับการวิเคราะห์ ทำให้แม้แต่ผู้ที่ไม่มีทักษะการเขียนโค้ดก็สามารถสร้างหน้าเว็บที่ดูเป็นมืออาชีพซึ่งสามารถดึงดูดผู้เยี่ยมชมได้
2. เวิร์กโฟลว์อัตโนมัติ
เครื่องมือเช่นZapierและIntegromatกำลังปฏิวัติระบบอัตโนมัติทางการตลาด เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้นักการตลาดสามารถเชื่อมต่อแอปพลิเคชันต่างๆ (เช่น Gmail, Slack และระบบ CRM) และทำงานซ้ำๆ ให้เป็นอัตโนมัติโดยไม่ต้องเขียนโค้ด โดยการตั้งค่าเวิร์กโฟลว์อัตโนมัติ นักการตลาดสามารถประหยัดเวลา ปรับปรุงความแม่นยำ และมุ่งเน้นไปที่งานเชิงกลยุทธ์แทน
3. แพลตฟอร์มการตลาดอีเมล
แพลตฟอร์มการตลาดอีเมลแบบไม่ต้องเขียนโค้ดยอดนิยม เช่นMailchimpและConvertKitมอบระบบอัตโนมัติอีเมล การจัดการรายชื่อ และการวิเคราะห์แคมเปญอันทรงพลัง แพลตฟอร์มเหล่านี้มาพร้อมเทมเพลตที่ใช้งานง่าย คุณสมบัติการปรับแต่ง และการวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้การสร้างแคมเปญอีเมลที่เป็นมืออาชีพและน่าสนใจโดยไม่ต้องใช้โค้ดแม้แต่บรรทัดเดียวเป็นเรื่องง่าย
4. การรวบรวมข้อมูลและการสร้างแบบฟอร์ม
เครื่องมือแบบไม่ต้องเขียนโค้ด เช่นTypeformและGoogle Formsช่วยให้ผู้ทำการตลาดสามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าได้อย่างง่ายดาย เครื่องมือเหล่านี้มีแบบฟอร์มและเทมเพลตแบบสำรวจที่ปรับแต่งได้เพื่อรวบรวมคำติชม ดำเนินการวิจัย และรวบรวมข้อมูลลูกค้าเป้าหมาย เครื่องมือเหล่านี้บูรณาการกับ CRM และโซลูชันการจัดเก็บข้อมูล ซึ่งช่วยให้ถ่ายโอนข้อมูลได้อย่างราบรื่น
5. การวิเคราะห์และการสร้างแดชบอร์ด
ด้วยเครื่องมือที่ไม่ต้องใช้โค้ด เช่นGoogle Data StudioและChartioนักการตลาดสามารถสร้างแดชบอร์ดที่ครอบคลุมและแสดงข้อมูลเชิงลึกได้โดยไม่ต้องมีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูล เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้นักการตลาดดึงข้อมูลจากแหล่งต่างๆ สร้างการแสดงภาพ และตรวจสอบ KPI ได้แบบเรียลไทม์
6. การจัดการโซเชียลมีเดียและระบบอัตโนมัติ
เครื่องมือเช่นBuffer , HootsuiteและLaterช่วยให้ผู้ทำการตลาดสามารถกำหนดเวลา วิเคราะห์ และปรับแต่งเนื้อหาโซเชียลมีเดียบนแพลตฟอร์มต่างๆ ได้โดยไม่ต้องใช้โซลูชันการเขียนโค้ดแบบกำหนดเอง เครื่องมือเหล่านี้ทำให้การวางแผนแคมเปญ ติดตามการมีส่วนร่วม และแม้แต่สร้างโพสต์อัตโนมัติเพื่อให้มั่นใจถึงความสม่ำเสมอเป็นเรื่องง่าย
7. โปรแกรมสร้างแอปและแชทบอท
โปรแกรมสร้างแอปแบบไม่ต้องเขียนโค้ด เช่นBubbleและAdaloช่วยให้ผู้ทำการตลาดสร้างแอปพลิเคชันที่กำหนดเองได้โดยไม่ต้องมีทักษะการเขียนโค้ด ขณะที่โปรแกรมสร้างแชทบอท เช่นChatfuelและManyChatช่วยให้สร้างระบบแชทอัตโนมัติสำหรับการบริการลูกค้า การสร้างลูกค้าเป้าหมาย และอื่นๆ ได้ เครื่องมือเหล่านี้มีประโยชน์ในการดึงดูดผู้ชมและเสนอการโต้ตอบกับลูกค้าแบบเรียลไทม์บนเว็บไซต์และโซเชียลมีเดีย
8. แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
สำหรับผู้ขายออนไลน์ แพลตฟอร์มแบบไม่ต้องเขียนโค้ด เช่นShopifyและWooCommerceเป็นวิธีง่ายๆ ในการตั้งค่าร้านค้าออนไลน์ แพลตฟอร์มเหล่านี้มีเทมเพลตที่ปรับแต่งได้ การผสานรวมการชำระเงินที่ปลอดภัย และการจัดการสินค้าคงคลัง ทำให้การดำเนินเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเป็นเรื่องง่ายโดยไม่ต้องมีความรู้ด้านเทคนิค
ทักษะแบบ No-code กำลังกลายมาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักการตลาดดิจิทัล ช่วยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ มีประสิทธิภาพ และนำสินค้าออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น เมื่อเครื่องมือเหล่านี้พัฒนาขึ้น ไม่เพียงแต่จะช่วยลดอุปสรรคทางเทคนิคเท่านั้น แต่ยังช่วยให้นักการตลาดมีความยืดหยุ่นในการสร้างนวัตกรรมด้วยตนเอง การลงทุนในทักษะแบบ No-code เหล่านี้จะช่วยให้นักการตลาดปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว เพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญ และมอบผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในที่สุด